ลักษณะของพืช กระชายเป็นไม้ล้มลุก มีอายุได้หลายปี สูงราว 1 - 2 ศอก
มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า " เหง้า " รูปทรงกระบอกปลายแหลม
จำนวนมากคล้ายกระสวยรวมติดอยู่เป็นกระจุก เนื้อในสีเหลือง
มีกลิ่นหอมเฉพาะ เนื้อในละเอียด
กาบใบเดี่ยว กาบใบสีแดงเรื่อ ใบรูปขอบขนานรูปไข่ กว้าง 4.5 - 10 ซ.ม. ด้านในของใบมีร่องลึก
ใบใหญ่ยาวรีปลายแหลม ดอกเป็นช่อ ดอกแทรกระหว่างกาบใบที่โคนต้น
การปลูก
ใช้เหง้าหรือหัวกระชายปลูก กระชายขอบดินร่วนปนทราย ไม่ชอบดินแฉะ เวลาปลูกควรยก
ร่องหรือปลูกใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่โดยนำหัวกระชายที่เตรียมไว้ตัดใบทิ้งและเหลือรากไว้เพียง
2 ราก ปลูกลงหลุมและกลบด้วยปุ๋ยคอกพอมิดต้นคลุมด้วยฟาง รดน้ำให้ชุ่ม ฤดูที่ปลูก คือ ปลายฤดู
แล้ง ความชุ่มชื้นต้องการแค่น้ำฝนก็เพียงพอ
ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าใต้ดิน
รสและสรรพคุณยาไทย
รสเผ็ดร้อยขม แก้ปวดมวนในท้องแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และบำรุงกำลัง
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ในเหง้ากระชายมีสารที่สำคัญ คือ น้ำมันหอมระเหย แต่พบว่ามีจำนวนน้อย มีรายงานว่าได้
ปริมาณน้ำมันหอมระเหยประมาณ 0.08 % ในน้ำมันหอมระเหยประกอยด้วยสารเคมีหลายชนิด
เช่น 1.8 - Cineol, Boesenbergin A,dl - Pinostrobin, Camphor เป็นต้น
การทดลองพบว่า สารจากเหง้ากระชายมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลิน -
ทรีย์ ได้ผลกับเชื้อแบคทีเรียดีกว่าเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียที่ได้ผลคือ Bacillus subtilis แบคทีเรีย
ในลำไส้ และแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง น้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ในการขับลม ช่วยให้กระเพาะ
และลำไส้เคลื่อนไหว ช่วยให้เจริญอาหารด้วย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ศึกษาและรายงานว่า
ไม่มีพิษเฉียบพลันในหนูถีบจักร
วิธีใช้
เหง้ากระชายรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียดโดยนำเหง้าและรากกระชายประมาณ
ครึ่งกำมือ ( สด หนัก 5 - 10 กรัม แห้งหนัก 3 - 5 กรัม ) ทุบพอแหลก ต้มน้ำเอาดื่มเมื่อมีอาการ
หรือปรุงเป็นอาหารรับประทาน
กระชายมีรสเผ็ดร้อน สารสำคัญในรากและเหง้ากระชายมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ในลำไส้ ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหารและแก้โรคในช่องปาก
1. แก้บิด ท้องร่วง ท้องเสีย นำรากกระชายย่างไฟ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำปูนใสคั้นเอาแต่น้ำดื่ม
2. รักษาโรคริดสีดวงทวาร ต้มกระชายพร้อมมะขามเปียก เติมเกลือแกงเล็กน้อย รับประทานก่อนนอนทุกวัน
3. ช่วยบำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ ตำรากกระชาย 1 กำมือให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานก่อนอาหารเย็น
4. ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ นำกระชายแห้งบดให้เป็นผงละลายกับน้ำร้อน
5. นำรากกระชาย ตะไคร้ หอมแดง ข่า ใบสะเดาแก่ ตำผสมกัน ใช้ฉีดบริเวณที่มีแมลงรบกวน
6. บำบัดโรคกระเพาะ กินรากสดแง่งเท่านิ้วก้อยไม่ต้องปอกเปลือก วันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที สัก 3 วัน ถ้ากินได้ให้กินจนครบ 2 สัปดาห์ ถ้าเผ็ดร้อนเกินไปหลังวันที่ 3 ให้กินขมิ้นสดปอกเปลือกขนาดเท่ากับ 2 ข้อนิ้วก้อยจนครบ 2 สัปดาห์
7.บรรเทาอาการแผลในปาก ปั่นรากกระชายทั้งเปลือก 2 แง่งกับน้ำสะอาด 1 แก้วในโถปั่นน้ำ เติมเกลือครึ่งช้อนกาแฟโบราณ กรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้กลั้วปากวันละ 3 เวลาจนกว่าแผลจะหาย ถ้าเฝื่อนเกินไปให้เติมน้ำสุกได้อีก ส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งใช้เก็บในตู้เย็นได้ 1 วัน
8. แก้ฝ้าขาวในปาก บดรากกระชายที่ล้างสะอาด ไม่ต้องปอกเปลือก ในโถปั่นพอหยาบ ใส่ขวดปิดฝาแช่ไว้ในตู้เย็น กินก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนกาแฟเล็ก (เหมือนที่เขาใช้คนกาแฟโบราณ) วันละ 3 มื้อก่อนอาหาร 15 นาที สัก 7 วัน
9. ฤทธิ์แก้กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า คันศีรษะจากเชื้อรา นำรากกระชายทั้งเปลือกมาล้างผึ่งให้แห้ง ฝานเป็นแว่น แล้วบดให้เป็นผงหยาบ เอาน้ำมันพืช (อาจใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าวก็ได้) มาอุ่นในหม้อใบเล็กๆ เติมผงกระชายใช้น้ำมัน 3 เท่าของปริมาณกระชาย หุง (คนไปคนมาอย่าให้ไหม้) ไฟอ่อนๆ ไปสักพักราว 15-20 นาที กรองกระชายออก เก็บน้ำมันไว้ในขวดแก้วสีชาใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน
10. แก้คันศีรษะจากเชื้อรา ให้เอาน้ำมันดังกล่าวไปเข้าสูตรทำแชมพูสระผมสูตรน้ำมันจากที่ไหนก็ได้ โดยใช้แทนน้ำมันมะพร้าวในสูตร ประหยัดเงินและได้ภูมิใจกับภูมิปัญญาไทย หรือจะใช้น้ำมันกระชายโกรกผม ให้เพิ่มปริมาณน้ำมันพืชอีก 1 เท่าตัว โกรกด้วยน้ำมันกระชายสัก 5 นาที นวดให้เข้าหนังศีรษะ แล้วจึงสระผมล้างออก
11. ฤทธิ์เป็นยาอายุวัฒนะ ผงกระชายทั้งเปลือกบดตากแห้งปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กินวันละ 3 ลูกก่อนเข้านอน ตำรับนี้เคยมีผู้รายงานว่าใช้ลดน้ำตาลในเลือดได้ หรือใช้กระชายตากแห้งบดผงบรรจุแคปซูล แคปซูลละ 250 มิลลิกรัม กินวันละ 1 แคปซูลตอนเช้าก่อนอาหารเช้าในสัปดาห์แรก วันละ 2 แคปซูลตอนเช้าในสัปดาห์ที่ 2